ก่อนที่จะถึงทัวร์ 2015 ที่นำเสนอโดยเอออน เราจะมาย้อนอดีตถึงเรื่องราวสุดสำคัญ และลืมไม่ลงจากประวัติศาสตร์ของทีมปีศาจแดง เราเชื่อว่าเรื่องราวจากหน้าประวัติศาสตร์อันแสนเกรียงไกรนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดไม่แพ้ใคร ในตอนที่ 6 ของซีรี่ส์นี้ อดีตผู้รักษาประตู อเล็กซ์ สเต็ปนี่ย์ จะย้อนอดีตไปยังค่ำคืนอันแสนวิเศษของสโมสร เดือนพฤษภาคม 1968 เมื่อทีมปีศาจแดงผงาดสู่จุดสูงสุดของวงการฟุตบอลยุโรป...
สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว มันคงไม่มีอะไรที่จะน่าเศร้าไปกว่าผลพวงจากโศกนาฏกรรมทางอากาศที่มิวนิค แต่นั่นก็เป็นค่ำคืนที่มืดหม่นที่สุด ก่อนที่แสงสว่างอันเรืองรองจะส่องลงมา นับตั้งแต่ปัญหาด้านสภาพการเงินมาจนถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ดถูกถล่ม สโมสรก็สามารถกลับมาได้ด้วยสปิริตนักสู้อยู่เสมอ
ตอนนั้นทีมงานทุกคนของสโมสรต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้ทีมสามารถกลับมาลงแข่งได้ภายใน 13 วัน หลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรม มันเป็นการรวบรวมเอานักเตะที่รอดชีวิต, ดาวรุ่งของทีม และการเซ็นสัญญาแบบฉุกเฉินมาลงเตะในเอฟเอ คัพ รอบ 5 ที่เจอกับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะอันน่าเหลือเชื่อ 3-0 เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด
ผู้ที่รับหน้าที่คุมทีมในตอนนั้นก็คือผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี่ เมอร์ฟี่ ขุนพลชุด 'เมอร์ฟี่ส์ มาเวลส์' สามารถผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แม้ว่าทีมปีศาจแดงจะไปแพ้ต่อโบลตัน วันเดอเรอร์สที่เวมบลีย์ แต่มันก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี และ แมตต์ บัสบี้ ที่อยู่ในช่วงพักฟื้นก็กำลังรอคอยที่จะกลับมาพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จที่มากกว่าเดิม
กุนซือชาวสก็อตกลับมารับตำแหน่งเดิมจากเมอร์ฟี่ และก็ได้สร้างทีมของเขาขึ้นมาใหม่ เขาบอกต่อสาธารณชนว่าขอเวลา 5 ปีในการพาทีมกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทุกอย่างดูยังไม่เข้าที่เข้าทางจนกระทั่งฤดูกาล 1962/63 เมื่อทีมได้ตัวศูนย์หน้าชาวสก็อตติชอย่าง เดนิส ลอว์ เข้ามาเสริมคม ในฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร เขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ 1963 ได้ นั่นเป็นความจริงตามคำพูดของบัสบี้ ทีมปีศาจแดงกลับมาแล้ว
เป็นอีกครั้งที่ผู้จัดการทีมได้สร้างดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ ในฤดูกาลต่อมาก็ถึงคราวของนักเตะหนุ่มนาม จอร์จ เบสต์ ด้วยการเล่นร่วมกับลอว์และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ทั้ง 3 คนจึงได้สร้างตำนานของพวกเขาเองขึ้นมาในนาม 'สามแข้งศักดิ์สิทธิ์ของยูไนเต็ด' แต่ละคนสามารถคว้ารางวัลบัลลง ดอร์มาครองได้คนละสมัย นั่นเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 5 ปี
ในช่วงนั้น ทีมของบัสบี้สามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ในฤดูกาล 1964/65 และทำได้อีกครั้งในฤดูกาล 1966/67 สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมปีศาจแดง นั่นก็คือการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1968 เรอัล มาดริดที่กำลังร้อนแรงร่วงตกรอบไปในรอบรองชนะเลิศด้วยน้ำมือของเบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่จากโปรตุเกส ซึ่งในตอนนั้นนำทัพโดยดาวดังอย่าง ยูเซบิโอ พวกเขาเข้าไปรอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ที่เวมบลีย์ในนัดชิงชนะเลิศ
ประตูขึ้นนำของชาร์ลตันถูกตีเสมอโดย เชมี่ กราซ่า ในช่วงท้ายเกม แต่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ทีมปีศาจแดงก็ทำได้ดีกว่ามาก โดยทำประตูได้ถึง 3 ลูก จาก จอร์จ เบสต์, ไบรอัน คิดด์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ถ้วยแชมป์ยุโรปจึงตกเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ท่ามกลางความปลื้มปิติของบัสบี้และสโมสร "หลังจากที่เว้นว่างมาช่วงหนึ่ง ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้" กุนซือชาวสก็อตกล่าวในตอนนั้น
"เราต่างก็รู้ดีว่ามันมีความหมายมากแค่ไหนสำหรับแมตต์ มันเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษสำหรับเขา" อเล็กซ์ สเต็ปนี่ย์ ผู้รักษาประตูในค่ำคืนนั้นย้อนรำลึก "ไม่ใช่แค่กับแมตต์เท่านั้น แต่สำหรับ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ บิลล์ โฟล์คส ที่รอดชีวิตจากการชนเมื่อ 10 ปีก่อนหน้าด้วย พวกเราทุกคนวิ่งไปหาพวกเขาทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดยาว"
"การคว้าแชมป์รายการนี้ได้เปลี่ยนแปลงสโมสรไปตลอดกาล เรารู้ดีว่าเราสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้ และนั่นก็คือวิถีของยูไนเต็ด"
ครบทศวรรษหลังโศกนาฏกรรมที่มิวนิค ในที่สุดการปลดปล่อยก็มาถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสามารถเดินทางมาสู่จุดสูงสุดของวงการฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จ