ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือที่แฟนบอลบ้านเรานิยมเรียกกันสั้นๆว่า UCL ฤดูกาลนี้ได้สองทีมคู่ชิงชนะเลิศออกมาเรียบร้อยแล้วนะครับ โดยถือเป็นการรีแมทต์คู่ชิงในปี 2009 เพียงแต่เปลี่ยนจากที่กรุงโรมมาฟาดแข้งกันที่เวมบลีย์เท่านั้น ซึ่งจะเป็นทีมไหนไปไม่ได้นอกจาก "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ซึ่งศึกนัดตัดสินแชมป์จะเตะกันปลายเดือนนี้นี่เอง
ย้อนรอยเส้นทางของทั้งสองทีม กว่าจะมาถึงนัดชิงดำได้ก็ต้องถือว่าสมศักศรีดิ์ทั้งคู่ เพราะนอกจากรอบแบ่งกลุ่มแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ยังผ่านบททดสอบสำคัญซึ่งเป็นทีมที่มีความต้องการถ้วยใบนี้มากที่สุดทีมหนึ่งอย่างเชลซี ส่วนทางฝั่งบาร์ซ่าเองก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายมาลอนดอนด้วยการคว่ำคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่งหากมองในแง่ของชั้นเชิงฟุตบอลแล้วต้องบอกว่าพวกเขาสมควรได้รับชัยชนะอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
บาร์เซโลน่า ของเป๊บ กวาดิโอล่า ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับเลยว่านี่คือสุดยอดทีมแห่งยุคอย่างแท้จริง คำกล่าวนี้ไม่เกินความจริงแต่อย่างใดเพราะตอนนี้พวกเขามีคะแนนนำโด่งในศึกฟุตบอลลาลีก้า สเปน ซึ่งโอกาสที่พวกเขาจะพลาดถ้วยใบนี้มีน้อยเอามากๆ และฉายาทีมต่างดาวก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นผลมาจากปรัชญาการเล่น และระบบที่ชัดเจนอันถูกหล่อหลอมมาอย่างยาวนาน โดยมีนักเตะที่เข้าใจจิตวิญญาณของทีม และแนวทางการเล่นอย่างแท้จริง นั่นยังไม่นับในประเด็นที่ว่าทีมๆนี้ประดับไปด้วยนักเตะระดับพระกาฬมากมาย รวมถึงสตาร์หมายเลขหนึ่งของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ อีกด้วย
เนื่องจากผู้เขียนชื่นชอบฟุตบอลลาลีก้าเป็นทุนอยู่แล้ว จึงมีโอกาสได้เฝ้าสังเกตเกมการเล่นของยอดทีมจากคาตาลันในปีนี้อยู่หลายนัด จุดแข็งของพวกเขานอกจากการต่อบอลสั้น และการเข้าทำอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว การเล่นเพลสซิ่งคู่แข่งของผู้เล่นแนวรุกของบาร์ซ่าก็เป็นแทคติกที่อันตรายอยู่มากเช่นกัน บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นบาร์เซโลน่าครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียวแทบตลอดทั้งเกม นั่นเป็นเพราะเพลสซิ่งสุดอันตรายที่สามารถชิงบอลกลับมาเล่นได้อย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเสียบอลนั่นเอง
ส่วนอาวุธเด็ดอีกประการที่ต้องพึงระวังอยู่มากเช่นกัน นั่นคือการเติมเกมรุกของแบ๊คขวาอย่าง ดานี อัลเวส เพราะเขามักจะสอดขึ้นมาหาโอกาสดีๆ อยู่ตลอดเวลาเมื่อคู่แข่งเปิดช่องโหว่จากการวางแนวรับที่หละหลวม โดยได้รับการสนับสนุนจาก ชาบี้ เฮอร์นันเดซ ตัวคุมจังหวะเกมของทีม
แต่ใช่ว่าทีมๆ นี้จะไม่มีจุดอ่อนเอาเสียเลย เมื่อเราเรียนรู้จากทีมต่างๆที่ต่อกรกับพวกเขามาแล้วเราจะพบว่า เพลสซิ่งของบาร์เซโลน่าแม้เป็นแผนการเล่นที่ยากแก่การรับมือ แต่มันก็ได้ปกปิดจุดอ่อนสำคัญในแนวรับของพวกเขาอยู่ เพราะแม้บาร์เซโลน่าจะแกร่งทั่วแผ่น แต่ต้องถือว่าผู้เล่นแนวรับของพวกเขาเป็นจุดที่แกร่งน้อยที่สุดในทีมชุดนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออาเซน่อลของเวนเกอร์ ที่เลือกใช้แจ๊ค วิลเชียร์ ในเลกแรกของรอบน็อคเอาท์ โดยไอ้หนูแจ๊คสามารถทำลายเพลสซิ่งดังกล่าวได้ และผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมขึ้นไปโจมตีแนวรับจนผู้เล่นบาร์ซ่าออกอาการให้เห็นอยู่เหมือนกัน ซึ่งในเกมนัดนั้นอาเซน่อลสามารถเอาชนะได้อีกด้วย
หรือ เรอัล มาดริด ที่พวกเขาเลือกเน้นเกมรับเต็มรูปแบบ และเล่นเกมหนักอยู่ตลอดเวลา และในจังหวะสวนกลับพวกเขาจะเล่นบอลให้น้อยจังหวะที่สุดเพื่อฉวยโอกาศทำประตู แม้จะสร้างความลำบากใจให้กับเมสซี่ และผองเพื่อนอยู่พอสมควร แต่ในเมื่อพวกเขายังเล่นได้ไม่ละเอียดพอ สุดท้ายก็โดนลงโทษจนตกรอบไป
สุดท้ายคืออินเตอร์ มิลาน ในยุคของโจเฆ่ มูริญโญ อันเป็นเคสซึ่งมีคนอ้างถึงอยู่มากพอสมควร เพราะแชมป์เก่าอย่างพวกเขาสามารถเขี่ยบาร์เซโลน่าตกรอบได้ด้วยการเล่นเกมรับที่รัดกุมเหนียวแน่น แถมยังกันตัวอันตรายอย่างเมสซี่ด้วยการเลือกใช้คนบ้านเดียวกันอย่างฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และ อเสเตบัน คัมบิอัสโซ่ตามเข้าประชิดอยู่ด้วย ผลคือทั้งคู่สามารถจำกัดพื้นที่การเล่นของเมสซี่ได้แค่ตรงบริเวณกลางสนามเท่านั้น ทำให้เจ้าหนูอาเจนไตน์ไม่อาจแสดงพิษสงได้มากเท่าไหร่นัก
เมนหลักสำคัญที่จะใช้ต่อกรกับบาร์เซโลน่า ในความเห็นของผู้เขียน จึงเน้นในประเด็นความเหนียวแน่นของเกมรับ ยุทธวิธีในการหลุดจากเพลสซิ่ง และการสวนกลับที่ต้องเล่นให้น้อยจังหวะ และแม่นยำที่สุด เพราะหากเลือกเปิดเกมแลกสู้แล้วล่ะก็ ต้องบอกว่าหาทีมที่ต่อกรอย่างสูสีได้น้อยมาก แม้จะเป็นแมนยูไนเต็ดของพวกเราแฟนผีก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คงคิดแผนหาวิธีรับมือกับบาร์เซโลน่าไว้แล้ว โดยหวังที่จะได้ล้างแค้นหลังจากที่เคยพ่ายแพ้ไป 2-0 โดยรูปเกมในวันนั้นที่โรมต้องบอกว่าสู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง นับตั้งแต่โดนซามูเอล เอโต้ทะลวงประตูแรกได้
ผู้เขียนเองหาได้ให้ความยำเกรงยอดทีมจากสเปนทีมนี้เกินจริงแต่อย่างใด เพราะหากมองในมุมบุคคลเป็นกลางพิจารณา ก็ต้องบอกว่าโดยรวมแล้ว บาร์เซโลน่าเหนือกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่พอสมควร แต่มีสิ่งหนึ่งที่แมนฯยูไนเต็ดได้เปรียบบาร์ซ่านั่นคือ การที่ปิศาจแดงมีเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดบรมกุนซือผู้มากประสบการณ์กุมบังเหียนอยู่ ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าป๋ากี้ของเรานั้น จะไม่ยอมพลาดซ้ำสองกับนัดสำคัญแบบนี้อีกเป็นแน่
กับนัดชิงชนะเลิศเพียงแมทช์เดียวที่สามารถออกได้ทุกหน้าแล้ว ความได้เปรียบเพียงหนึ่งของเรา อาจเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างของเกมวันที่ 28 พ.ค. ก็เป็นได้นะครับ